ข่าวสารและบทความ

อันตรายจากสารเคมีในพื้นที่การทำงาน

ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

กกกเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการตรวจวัด และการวิเคราะห์ผลการตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย

กกกโดยกำหนดให้นายจ้างจัดให้มีการตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานและสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย และส่งผลรายงานตรวจวัดให้แก่อธิบดี โดยการดำเนินการนี้จำเป็นต้องเป็นไปตามแบบรายงานที่กำหนดไว้


ข้อกำหนดหลัก

1. การตรวจวัดและวิเคราะห์: นายจ้างต้องดำเนินการตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงานที่ได้รับการรับรอง

2. การรายงานผล: นายจ้างต้องจัดทำรายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ในรูปแบบที่กำหนด และส่งรายงานให้กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ภายใน

15 วัน นับจากวันที่ทราบผลการตรวจวัด

3. สถานที่ที่ต้องตรวจวัด: การตรวจวัดต้องครอบคลุมทั้งสถานที่ทำงานและ

สถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย การตรวจวัด และการวิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการ วิธีการ เครื่องมือ และอุปกรณ์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล

จุดประสงค์ของการประกาศ

การเฝ้าระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น: เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพของพนักงานที่อาจเกิดจากการสัมผัสสารเคมีอันตรายทั้งทางตรง และทางอ้อม

ควบคุมคุณภาพอากาศ: เพื่อควบคุมและรักษาคุณภาพอากาศในสถานที่ทำงานให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย



การปฏิบัติตาม

กกกนายจ้างควรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในประกาศนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานจะมีความปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและจัดให้มีการตรวจสุขภาพพนักงานประจำปี

กกกการตรวจสุขภาพเพื่อหาสารเคมีตกค้างในร่างกายมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมีที่ต้องการตรวจและระยะเวลาที่ได้รับสารนั้นๆ โดยทั่วไปนิยมตรวจจากเลือด ปัสสาวะ หรือเส้นผม การตรวจสารเคมีในร่างกายช่วยให้ทราบระดับของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายและวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม


หมายเหตุ: การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในประกาศนี้อาจส่งผลให้เกิดบทลงโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประกาศนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงานในสถานที่ทำงานโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสารเคมีอันตราย

ฝุ่นและอากาศในประเทศไทย

ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ภาพรวมของปัญหาฝุ่นและอากาศในประเทศไทย

กกกประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศสูง โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานครและเชียงใหม่ ปัญหามลพิษทางอากาศนี้มีสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การจราจรที่หนาแน่น กิจกรรมอุตสาหกรรม และการเผาในที่โล่ง


ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

1. มลพิษทางอากาศ

กกกมลพิษทางอากาศมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำให้คุณภาพอากาศลดลง การแพร่กระจายของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศน์ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ซึ่งสารเหล่านี้สามารถทำให้ดินและน้ำกลายเป็นกรด ส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์



2. ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์

กกกฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคมะเร็ง การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเหล่านี้ยังเป็นภาระต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ

3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กกกมลพิษทางอากาศยังมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะเพิ่มความเข้มข้นในบรรยากาศ ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศน์ในวงกว้าง


แนวทางการแก้ไข

1. การใช้พลังงานทดแทน

กกกการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศได้


2. การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน

กกกการส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ไฟฟ้า สามารถลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและมลพิษจากการจราจร



3. การปลูกป่าและฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว

กกกการปลูกป่าและการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มคุณภาพอากาศได้


กกกการแก้ไขปัญหาฝุ่นและอากาศในประเทศไทยนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชน เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีและยั่งยืนในอนาคต

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy